รหัสแทนข้อมูล หมายถึง
รหัสที่ใช้แทนตัวอักขระ ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์พิเศษอื่น ๆ
ที่ใช้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์
เพราะว่าข้อมูลที่เก็บไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์จะแทนด้วยรหัสเลขฐานสองที่มีเลข
๐ กับ ๑ วางเรียงกัน ที่นิยมใช้มี ๓ รหัสคือ รหัสบีซีดี รหัสแอบซีดิก รหัสแอสกี้
รหัสแอสกี้ (ASCII) ย่อมาจาก American
Standard Code for Information Interchange เป็นรหัสที่กำหนดขึ้นโดยหน่วยงานกำหนดมาตรฐานของสหรัฐอเมริการหัสอักขระแต่ละตัวประกอบด้วย
๘ บิต
บิตที่ ๔ ถึง ๗
เป็นส่วนที่ใช้กำหนดประเภทของตัวอักขระ
|
||
๐๐๑๐
|
เครื่องหมายต่าง ๆ
|
|
๐๐๑๑
|
ตัวเลขและเครื่องหมายต่างๆ
|
|
๐๑๐๐
|
A-O
|
|
๐๑๐๑
|
P-Z และเครื่องหมายต่าง ๆ
|
|
๐๑๑๐
|
a-o
|
|
๐๑๑๐
|
p-z และเครื่องหมายต่าง ๆ
|
|
บิตที่ ๐ ถึง ๓
เป็นรหัสแทนอักขระแต่ละตัวในกลุ่มนั้น
|
คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยหลักการทางอิเล็กทรอนิกส์
ที่แทนสัญญาณทางไฟฟ้าด้วยตัวเลขศูนย์และหนึ่งซึ่งเป็นตัวเลขในระบบเลขฐานสอง
แต่ละหลักเรียกว่าบิต (Binary Digit: Bit) และเมื่อนำตัวเลขหลาย ๆ บิตมาเรียงกัน จะใช้สร้างรหัสแทนความหมายจำนวน
หรือตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยได้
และเพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อความระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์เป็นไปในแนวเดียวกัน
จึงมีการกำหนดมาตรฐานรหัสตัวเลขในระบบเลขฐานสองสำหรับแทนสัญลักษณ์เหล่านี้
รหัสมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากมีสองกลุ่มคือ
รหัสแอสกี้ (ASCII) เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากในระบบคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่
เป็นคำย่อมาจาก American Standard Code Information Interchange เป็นรหัส ๘ บิต แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ ๒๕๖ ตัว
เมื่อใช้แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้วยังมีเหลืออยู่
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ได้กำหนดรหัสภาษาไทยเพิ่มลงไปเพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้
การแทนค่าแทนค่าด้วยตัวเลขแนวตั้ง(b๗ –b๔)ก่อน
แล้วตามด้วยตัวเลขแนวนอน(b๓ – b๐) เช่น
ก ๑๐๑๐๐๐๐๑ และ A
๐๑๐๐๐๐๐๑
หน่วยความจำของไมโครคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้
มีขนาดความกว้าง ๘ บิต และเก็บข้อมูลเรียงกันไป โดยมีการกำหนดตำแหน่งซึ่งเรียกว่า
เลขที่อยู่
(Address) เพื่อให้ข้อมูลที่เก็บมีความถูกต้อง
การเขียนหรืออ่านทุกครั้งจึงต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล วิธีที่ง่ายและนิยมใช้กันคือการเพิ่มอีก
๑ บิต เรียกว่า บิตพาริตี้ (Parity bit) บิตพาริตี้ที่เพิ่มเติมเข้าไปจะทำให้ข้อมูลทั้งหมดในส่วนนั้นมีเลข
๑ เป็นจำนวนคู่ หรือจำนวนคี่ก็ได้ เช่น ในไมโครคอมพิวเตอร์เพิ่มอีก ๑ บิต
เพื่อทำให้บิตที่แสดงค่าของรหัสเป็นจำนวนคู่ เรียกว่าพาริตี้คู่
(Even parity) ส่วนการเพิ่มบิตพาริตี้รวมอยู่ในกลุ่มของรหัสแล้วทำให้บิตที่แสดงค่าของรหัสเป็นจำนวนคี่
เรียกว่าพาริตี้คี่ (Odd parity) บิตพาริตี้ที่เติมสำหรับข้อมูลตัวอักษร
A และ E เป็นดังนี้
A ๐๑๐๐๐๐๐๑ ๐<-- บิตพาริตี้ E ๐๑๐๐๐๑๐๑ ๑<-- บิตพาริตี้
ข้อมูล A มีเลข ๑ สองตัว
ซึ่งเป็นจำนวนคู่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงใส่บิตพาริตี้เป็นเลข ๐ ข้อมูล E มีเลข ๑ เป็นจำนวนคี่ จึงใส่บิตพาริตี้เป็น
๑ เพื่อให้มีเลข ๑ เป็นจำนวนคู่ข้อความ BANGKOK เมื่อเก็บในหน่วยความจำหลักของไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีบิตพาริตี้ด้วยจะเป็นดังตัวอย่างด้านล่าง
ตัวอย่างการแทนข้อความในหน่วยความจำแบบมีบิตพาริตี้
|
หน่วยความจำ
|
|
บิตพาริตี้
|
B
|
๐๑๐๐๐๐๑๐
|
|
๐
|
A
|
๐๑๐๐๐๐๐๑
|
|
๐
|
N
|
๐๑๐๐๑๑๑๐
|
|
๐
|
G
|
๐๑๐๐๐๑๑๑
|
|
๐
|
K
|
๐๑๐๐๑๐๑๑
|
|
๐
|
O
|
๐๑๐๐๑๑๑๑
|
|
๑
|
K
|
๐๑๐๐๑๐๑๑
|
|
๐
|
การแทนคำสั่งในหน่วยความจำ หน่วยควบคุมของคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในซีพียู
ทำการอ่านคำสั่งจากหน่วยความจำมาแปลความหมายและกระทำตาม
คำสั่งคอมพิวเตอร์พื้นฐานที่สุดเรียกว่า ภาษาเครื่อง (Machine Language) ภาษาเครื่องมีลักษณะเป็นรหัสที่ใช้ตัวเลขฐานสอง ตัวเลขฐานสองเหล่านี้แทนชุดรหัสคำสั่ง
คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งมีคำสั่งที่ใช้ได้หลายร้อยคำสั่ง
แต่ละคำสั่งจะมีความหมายเฉพาะ เช่น คำสั่งนำข้อมูลที่มีค่าเป็น ๓
จากหน่วยความจำตำแหน่งที่ ๘๐๐๐ มาบวกกับข้อมูลที่มีค่าเป็น ๕ ในตำแหน่งที่ ๘๐๐๑ ผลลัพธ์ที่ได้ให้เก็บไว้ในหน่วยความจำตำแหน่งที่ ๘๐๐๒
เมื่อเขียนคำสั่งเป็นภาษาเครื่องจะมีลักษณะเป็นตัวเลขฐานสองเรียงต่อกันเป็นจำนวนมาก
ซึ่งเข้าใจได้ยาก จึงมักใช้ตัวอักษรแทนรหัสภาษาเครื่องเหล่านี้
ตัวอย่างการแทนภาษาเครื่องในหน่วยความจำ
ตัวอักษรแทนรหัสภาษาเครื่อง
|
ภาษาเครื่อง
|
LD A,(๘๐๐๐)
|
๐๐๑๑๑๐๑๐,๐๐๐๐๐๐๐๐,๑๐๐๐๐๐๐๐
|
LD B,A
|
๐๑๐๐๐๑๑๑
|
LD A,(๘๐๐๑)
|
๐๐๑๑๑๐๑๐,๐๐๐๐๐๐๐๑,๑๐๐๐๐๐๐๐
|
ADD A,B
|
๑๐๐๐๐๐๐๐
|
LD (๘๐๐๒),A
|
๐๐๑๑๐๐๑๐,๐๐๐๐๐๐๑๐,๑๐๐๐๐๐๐๐
|
รหัสภาษาเครื่อง
เมื่อเก็บอยู่ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์จะมีลักษณะเรียงต่อกันไป
สมมติให้ส่วนของโปรแกรมเก็บในหน่วยความจำตำแหน่งเริ่มจาก ๑๐๐๐
และข้อมูลเก็บไว้ที่ตำแหน่งเริ่มจาก ๘๐๐๐ ดังตารางที่ ๔.๔
การเก็บข้อมูลและคำสั่งลงในหน่วยความจำด้วยรหัสเลขฐานสองภาษาสั่งการพื้นฐานที่ใช้รหัสตัวเลขฐานสองนี้เรียกว่า
ภาษาเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่ใช้ซีพียูต่างตระกูลกันจะมีภาษาเครื่องที่ต่างกัน เช่น
เครื่องที่ใช้ซีพียูเพนเทียมกับซีพียูที่ใช้ในเครื่องแมกอินทอช
มีรหัสคำสั่งต่างกัน
|
รหัสภาษาเครื่อง
|
ตำแหน่ง
|
หน่วยความจำ
|
|
บิตพาริตี้
|
LD A,(๘๐๐๐)
|
๑๐๐๐
|
๐๐๑๑๑๐๑๐
|
|
๐
|
๑๐๐๑
|
๐๐๐๐๐๐๐๐
|
|
๐
|
|
๑๐๐๒
|
๑๐๐๐๐๐๐๐
|
|
๑
|
|
LD B,A
|
๑๐๐๓
|
๐๑๐๐๐๑๑๑
|
|
๐
|
LD A,(๘๐๐๑)
|
๑๐๐๔
|
๐๐๑๑๑๐๑๐
|
|
๐
|
๑๐๐๕
|
๐๐๐๐๐๐๐๑
|
|
๑
|
|
๑๐๐๖
|
๑๐๐๐๐๐๐๐
|
|
๑
|
|
ADD A,B
|
๑๐๐๗
|
๑๐๐๐๐๐๐๐
|
|
๑
|
LD (๘๐๐๒),A
|
๑๐๐๘
|
๐๐๑๑๐๐๑๐
|
|
๑
|
๑๐๐๙
|
๐๐๐๐๐๐๑๐
|
|
๑
|
|
๑๐๑๐
|
๑๐๐๐๐๐๐๐
|
|
๑
|
|
-
|
-
|
-
|
|
-
|
-
|
-
|
|
|
-
|
-
|
-
|
-
|
|
|
-
|
-
|
-
|
|
-
|
-
|
-
|
-
|
|
-
|
ข้อมูล
|
๘๐๐๐
|
๐๐๐๐๐๐๑๑
|
|
๐
|
๘๐๐๑
|
๐๐๐๐๐๑๐๑
|
|
๐
|
|
ผลลัพธ์
|
๘๐๐๒
|
๐๐๐๐๑๐๐๐
|
|
๑ |
รหัสแทนข้อมูล
บิต ไบต์ เวิร์ด
เลข
0 และ 1ในระบบฐานสองแต่ละตัวเรียกว่าบิต (bit) ย่อมาจากคำว่าBinary Digit บิตเป็นหน่วยเล็กที่สุดในการเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์แต่เนื่องจากบิตเดียวไม่สามารถเก็บข้อมูลตัวเลข
ตัวอักษร และสัญลักษณ์พิเศษต่าง ๆได้ครบ
ดังนั้นจึงต้องรวมบิตหลายบิตเข้าเป็นกลุ่มเรียกว่าไบต์ (byte) แต่ละไบต์จะแทนอักขระหนึ่งตัวโดยปกติแล้วใช้แปดบิตรวมกันเป็นหนึ่งไบต์ในการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องคำนึงถึงรหัสที่ใช้แทนข้อมูลความจุของหน่วยความจำและความจุของที่เก็บข้อมูลสำรองในคอมพิวเตอร์ซึ่งหน่วยของความจุที่เก็บข้อมูลจะมีหน่วยเป็นหน่วยของไบต์และหากมีความจุสูงก็อาจใช้หน่วยความจุเป็นกิโลไบต์
(Kilobyte) โดยหนึ่งกิโลไบต์มีค่าเป็น 1,024 ไบต์ ใช้สัญลักษณ์ KB หรือ K แทน
(บางครั้งอาจใช้ค่าประมาณ 1 กิโลไบต์ ประมาณ 1,000
ไบต์) ดังนั้นถ้าหน่วยความจำขนาด 640 กิโลไบต์
จะเก็บข้อมูลได้ 640 x 1,024 หรือ 655,360 ไบต์นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจุเป็นเมกะไบต์ (Megabyte)ซึ่งมีค่าเป็น 1,024 x1,024 หรือ 1,048,576 ไบต์ ใช้สัญลักษณ์ MB หรือ M แทน
(บางครั้งอาจใช้ค่าประมาณ 1 เมกะไบต์ ประมาณ 1,000,000
ไบต์หรือหนึ่งล้านไบต์)
ปัจจุบันนี้หน่วยความจำมีความจุมากขึ้นจนอยู่ในหน่วยของจิกะไบต์ (Gigabyte) ซึ่งมีค่าเป็น 1,024
x1,024 x1,024ไบต์ หรือ 1,073,741,824 ไบต์ใช้สัญลักษณ์
GB หรือ G แทน
(บางครั้งอาจใช้ค่าประมาณ 1 จิกะไบต์ ประมาณ
1,000,000,000 ไบต์
หรือหนึ่งพันล้านไบต์)ในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าจะมีหน่วยความจำหลักเพียง 640
กิโลไบต์แต่ในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่
จะมีหน่วยความจำหลักที่มีความจุตั้งแต่ 8 เมกะไบต์ถึง 32
เมกะไบต์
หรือมากกว่านี้ส่วนในเครื่องเมนเฟรมจะมีหน่วยความจำที่มีความจุถึงหน่วยของจิกะไบต์นอกจากนี้
ในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ยังมีการรวมกลุ่มของบิตจำนวนหนึ่งเรียกว่าเวิร์ด (word)
ซึ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละชนิดจะมีขนาดของเวิร์ดไม่เท่ากันโดยทั่วไปแล้วถ้าคอมพิวเตอร์เครื่องใดมีเวิร์ดขนาดใหญ่กว่าก็แสดงว่าเครื่องนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าโดยในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปจะใช้
8 บิตรวมกันเป็นหนึ่งเวิร์ดในเครื่องมินิคอมพิวเตอร์และไมโครคอมพิวเตอร์บางรุ่นใช้
16 บิตรวมกันเป็นหนึ่งเวิร์ด
ในเครื่องระดับเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์บางรุ่นใช้ 32 บิตรวมกันเป็นหนึ่งเวิร์ด
ส่วนในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใช้ 64 บิตรวมกันเป็นหนึ่งเวิร์ดในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าเป็นเครื่องขนาด
8 บิต (หนึ่งเวิร์ด) จะหมายความว่า
ณขณะใดขณะหนึ่งเครื่องนั้นจะสามารถประมวลผลได้ครั้งละ 8 บิตแต่ในเครื่องขนาดใหญ่ขนาด
64 บิตจะสามารถประมวลผลได้ครั้งละ 64 บิตหรือ
8 ไบต์ทำให้ประมวลผลเร็วกว่าเครื่องรุ่นเก่าถึง 8 เท่า
ชนิดของรหัสแทนข้อมูล
ในทางทฤษฎีแล้วผู้ใช้สามารถกำหนดรหัสแทนอักขระใด
ๆได้เองจากกลุ่มของเลขฐานสอง 8
บิต แต่ในความเป็นจริงนั้นทำไม่ได้เพราะหากทำเช่นนั้นอาจเกิดปัญหาระหว่างเครื่องสองเครื่องที่ใช้รหัสต่างกันเปรียบเทียบได้กับคนสองคนคุยกันคนละภาษาดังนั้นจึงควรมีการกำหนดรหัสแทนข้อมูลที่เป็นสากล
เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆสามารถสื่อสารกันได้ รหัสแทนข้อมูลที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
คือ
รหัส EBCDIC (Extended Binary Code Decimal
Interchange Code)
รหัสเอบซีโคดพัฒนาโดยบริษัทไอบีเอ็มใช้แทนข้อมูลที่แตกต่างกันได้ทั้งหมด
2 หรือ 256 ชนิดการเก็บข้อมูลโดยใช้รหัสเอบซีดิกจะแบ่งรหัสออกเป็นสองส่วน
คือโซนบิต (Zone bits)ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมีจำนวน 4 บิตและนิวเมอริกบิต (Numeric bits)ในอีก 4 บิตที่เหลือ
รหัส ASCII (American Standard Code for Information
Interchange)
รหัสแอสกี
เป็นรหัสที่นิยมใช้กันมากจนสามมารถนับได้ว่าเป็นรหัสมาตรฐานที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล
( Data
Communications) ซึ่งจำเป็นต้องใช้รหัสการแทนข้อมูลเป็นระบบเดียวกันเพื่อให้สามารถรับ
- ส่งข้อมูลได้ในความหมายเดียวกัน รหัสแอสกีใช้เลขฐานสอง 8 หลักแทนข้อมูลหนึ่งตัวเช่นเดียวกับรหัสเอบซีดิค
นั่นคือ 1 ไบต์มีความยาวเท่ากับ 8 บิต
รวมทั้งมีการแบ่งรหัสออกเป็นสองส่วน คือโซนบิตและนิวเมอริกบิตเช่นเดียวกัน
อักขระ
|
รหัส
EBCDIC
|
รหัส
ASCII
|
อักขระ
|
รหัส
EBCDIC
|
รหัส
ASCII
|
A
|
11000001
|
01000001
|
0
|
11110000
|
00110000
|
B
|
11000010
|
01000010
|
1
|
11110001
|
0011001
|
C
|
11000101
|
01000011
|
2
|
11110010
|
00110010
|
:
|
:
|
:
|
3
|
11110011
|
00110011
|
X
|
11100111
|
01011000
|
:
|
:
|
:
|
Y
|
11101000
|
01011001
|
:
|
:
|
:
|
Z
|
11101001
|
01011010
|
|||
:
|
:
|
:
|
|||
:
|
:
|
:
|
แสดงตัวอย่างการแทนข้อมูลด้วรหัส EBCDIC และ ASCII
โปรแกรมประยุกต์บางโปรแกรมได้มีการเปลี่ยนแปลงการแทนข้อมูลด้วยรหัส ACSII ให้ต่างไปจากมาตรฐาน
โดยรหัสการจัดรูปแบบตัวอักษร (formatiing) ให้เป็นตัวหนาหรือตัวเอียง
เป็นต้น ทำให้โปรแกรมอื่น
ๆไม่สามารถอ่านข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นจากโปรแกรมประเภทนี้ได้เพราะมีการกำหนดรหัสแทนข้อมูลไม่ตรงกัน
รหัส UniCode
เป็นรหัสแบบใหม่ล่าสุดถูกสร้างขึ้นมาเนื่องจากรหัสขนาด
8 บิตซึ่งมีรูปแบบเพียง 256 รูปแบบไม่สามารถแทนภาษาเขียนแบบต่าง
ๆ ในโลกได้ครบหมด โดยเฉพาะภาษาที่เป็นภาษาภาพ
เช่นภาษาจีนหรือภาษาญี่ปุ่นเพียงภาษาเดียวก็มีจำนวนรูปแบบเกินกว่า 256 ตัวแล้ว
UniCodeจะเป็นระบบรหัสที่เป็น 16 บิต จึงแทนตัวอักษรได้มากถึง 65,536 ตัว ซึ่งเพียงพอสำหรับตัวอักษรและสัญลักษณ์กราฟฟิกโดยทั่วไปรวมทั้งสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ในปัจจุบันระบบ UniCodeมีใช้ในระบบปฏิบัติการ Window NT ระบบปฏิบัติการ UNIX บางรุ่น รวมทั้งมีการสนับสนุนชนิดข้อมูลแบบ UniCodeในภาษา JAVA ด้วย
UniCodeจะเป็นระบบรหัสที่เป็น 16 บิต จึงแทนตัวอักษรได้มากถึง 65,536 ตัว ซึ่งเพียงพอสำหรับตัวอักษรและสัญลักษณ์กราฟฟิกโดยทั่วไปรวมทั้งสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ในปัจจุบันระบบ UniCodeมีใช้ในระบบปฏิบัติการ Window NT ระบบปฏิบัติการ UNIX บางรุ่น รวมทั้งมีการสนับสนุนชนิดข้อมูลแบบ UniCodeในภาษา JAVA ด้วย
รหัสแทนข้อมูล
คอมพิวเตอร์ที่ใช้กันในปัจจุบันเป็นอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่ทำงานแบบดิจิทัล
เมื่อผู้ใช้ป้อนข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์จะทำการแปลงข้อมูลนั้นเป็นเลขฐานสอง (Binary number system) ซึ่งประกอบด้วยเลข 0 และ เลข 1 ซึ่งเรียกว่า รหัสแทนข้อมูล โดยเป็นรหัสที่ใช้แทน ข้อมูลต่าง ๆ
ซึ่งอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ
เพื่อให้คอมพิวเตอร์และผู้ใช้สามารถเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ได้
รหัสที่ใช้ในการแทนข้อมูลในปัจจุบันมี 2 กลุ่ม คือ
1. รหัสเอ็บซีดิก (EBCDIC):
Extended Binary Coded Decimal Interchange Code) เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมของไอบีเอ็มยังคงใช้รหัสนี้
2. รหัสแอสกี (ASCII): American Standard Code
Information Interchange) เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมาก
ในระบบคอมพิวเตอร์ เป็นรหัส 8 บิท แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ 256 ตัว
การวัดขนาดข้อมูลหรือหน่วยวัดความจำ
หน่วยที่ใช้วัดความจำที่เล็กที่สุด คือ ไบต์ (Byte) ซึ่งหมายถึง จำนวนตัวเลขในระบบเลขฐานสองที่ต่อเนื่องกันเป็นกลุ่มแต่ละตัวเรียกว่า บิต (bit) เช่น 01100001 = 8 บิต ก็คือ 1 ไบต์ ประกอบด้วยตัวเลข 0 หรือ เลข 1 จำนวน 8 ตัว เรียงต่อกัน
หน่วยที่ใช้วัดความจำที่เล็กที่สุด คือ ไบต์ (Byte) ซึ่งหมายถึง จำนวนตัวเลขในระบบเลขฐานสองที่ต่อเนื่องกันเป็นกลุ่มแต่ละตัวเรียกว่า บิต (bit) เช่น 01100001 = 8 บิต ก็คือ 1 ไบต์ ประกอบด้วยตัวเลข 0 หรือ เลข 1 จำนวน 8 ตัว เรียงต่อกัน
ทั้งนี้ ขนาด 1 ไบต์ หรือ 8 บิต จะสามารถใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้
1 ตัว ซึ่งจำนวน 8 บิต
จะใช้แทนตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้เท่ากับ 256 แบบ หรือ เท่ากับ 2
ดังนั้นเราจะวัดขนาดข้อมูลของคอมพิวเตอร์ตามหน่วยวัดข้อมูลได้ดังนี้
8 BIT (บิต) = 1 Byte (ไบต์) = 1 ตัวอักษร
1,024 B = 1 KB (กิโลไบต์) = 1,024 ตัวอักษร
1,024 KB = 1 MB (เมกะไบต์) = 1,048,576 ตัวอักษร
1,024 MB = 1 GB (กิกะไบต์) = 1,073,741,824 ตัวอักษร
1,024 GB = 1 TB (เทระไบต์) = 1,099,511,627 ตัวอักษร
ดังนั้นเราจะวัดขนาดข้อมูลของคอมพิวเตอร์ตามหน่วยวัดข้อมูลได้ดังนี้
8 BIT (บิต) = 1 Byte (ไบต์) = 1 ตัวอักษร
1,024 B = 1 KB (กิโลไบต์) = 1,024 ตัวอักษร
1,024 KB = 1 MB (เมกะไบต์) = 1,048,576 ตัวอักษร
1,024 MB = 1 GB (กิกะไบต์) = 1,073,741,824 ตัวอักษร
1,024 GB = 1 TB (เทระไบต์) = 1,099,511,627 ตัวอักษร
เนื่องจาก
คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยกระแสไฟฟ้า ดังนั้นจึงมีการแทนที่สภาวะของกระแสไฟฟ้าได้
2 สภาวะ คือ สภาวะที่มีกระแสไฟฟ้า
และสภาวะที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า และเพื่อให้โปรแกรมเมอร์สามารถสั่งการคอมพิวเตอร์ได้
จึงได้มีการสร้างระบบตัวเลขที่นำมาแทนสภาวะของกระแสไฟฟ้า โดยตัวเลข 0 จะแทนสภาวะไม่มีกระแสไฟฟ้า และเลข 1 แทนสภาวะมีกระแสไฟฟ้าสภาวะ
มีกระแสไฟฟ้า แทนด้วยตัวเลข 1สภาวะไม่มีกระแสไฟฟ้า
แทนด้วยตัวเลข
0
ระบบตัวเลขที่มีจำนวน 2 จำนวน (2 ค่า)
เรียกว่าระบบเลขฐานสอง (Binary Number System) ซึ่งเป็นระบบตัวเลข
ที่สามารถนำมาใช้ในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ โดยการแทนที่สภาวะต่างๆ ของกระแสไฟฟ้า
แต่ในชีวิตประจำวันของคนเราจะคุ้นเคยกับตัวเลขที่มีจำนวน 10 จำนวน
คือ เลข 0 – 9 ซึ่งเรียกว่าระบบเลขฐานสิบ (Decimal
Number System) ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องศึกษาระบบเลขฐาน
ประกอบการการศึกษาวิชาด้านคอมพิวเตอร์
ระบบจำนวนที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์
ประกอบด้วย
- ระบบเลขฐานสอง
(Binary
Number System) ประกอบด้วยตัวเลข 0 และ 1
- ระบบเลขฐานแปด
(Octal
Number System) ประกอบด้วยตัวเลข 0 – 7
- ระบบเลขฐานสิบ
(Decimal
Number System) ประกอบด้วยตัวเลข 0 – 9
- ระบบเลขฐานสิบหก
(Hexadecimal
Number System) ประกอบด้วยตัว เลข 0-9และ
A – F
ระบบจำนวน
|
จำนวนหลัก (Digit)
|
|||||||||||||||
ฐานสอง
|
0
|
1
|
||||||||||||||
ฐานแปด
|
0
|
1
|
2
|
3
|
4
|
5
|
6
|
7
|
8
|
|||||||
ฐานสิบ
|
0
|
1
|
2
|
3
|
4
|
5
|
6
|
7
|
8
|
9
|
||||||
ฐานสิบหก
|
0
|
1
|
2
|
3
|
4
|
5
|
6
|
7
|
8
|
9
|
A
|
B
|
C
|
D
|
E
|
F
|
รหัสภายในคอมพิวเตอร์ แทนได้กับสภาวะของกระแสไฟฟ้า
ตามจำนวนสายสัญญาณ เช่น ถ้ามีสายสัญญาณ 2 เส้น
ก็สามารถสร้างรหัสแทนข้อมูลได้ 4 ค่า (คิดจาก 2 ยกกำลัง 2) คือ
สภาวะไฟฟ้า 2 เส้น
|
รหัสข้อมูล
|
00
|
|
01
|
|
10
|
|
11
|
ดังนั้นถ้ามีสายสัญญาณ 8
เส้น ก็สามารถสร้างรหัสแทนข้อมูลได้ จำนวน 28 = 256 ค่า เป็นต้น
· บิต (Bit) = สภาวะไฟฟ้า 1
เส้น หรือค่า 0 หรือ 1 แต่ละค่าเรียกว่า
บิต (Bit) ซึ่งเป็นคำย่อของ “Binary digit”
· ไบต์ (Byte) =
กลุ่มของบิตที่มีความหมายเฉพาะ ก็คือมีสายสัญญาณ 8 เส้น แสดงว่ามีสัญญาณที่สามารถผสมผสานกันได้ 8 บิต
เรียกว่า ไบต์ (Byte)ตัวอย่างในตารางที่แสดงอักขระ, การเรียงกันของบิต และค่าเลขฐาน 10 ที่แทนอักขระ
Character
|
Bit pattern
|
Byte
number |
Character
|
Bit pattern
|
Byte
number |
|
A
|
01000001
|
65
|
ผ
|
10111100
|
188
|
|
B
|
01000010
|
66
|
.
|
00101110
|
46
|
|
C
|
01000011
|
67
|
:
|
00111010
|
58
|
|
a
|
01100001
|
97
|
$
|
00100100
|
36
|
|
b
|
01100010
|
98
|
\
|
01011100
|
92
|
|
o
|
01101111
|
111
|
~
|
01111110
|
126
|
|
p
|
01110000
|
112
|
1
|
00110001
|
49
|
|
q
|
01110001
|
113
|
2
|
00110010
|
50
|
|
r
|
01110010
|
114
|
9
|
00111001
|
57
|
|
x
|
01111000
|
120
|
ฉ
|
10101001
|
169
|
|
y
|
01111001
|
121
|
>
|
00111110
|
62
|
|
z
|
01111010
|
122
|
�
|
10001001
|
137
|
ดังนั้นถ้าต้องการป้อนคำว่า black
จะมีค่าเท่ากับข้อมูลจำนวน 5 ไบต์
ซึ่งมักจะได้ยินว่า 1 ไบต์ เทียบกับ 1 ตัวอักษรนั่นเอง
· รหัสแอสกี (ASCII) เป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากในระบบคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่
เป็นคำย่อมาจาก American Standard Code Information Interchange เป็นรหัส
8 บิต แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ 256 ตัว
เมื่อใช้แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีเหลืออยู่
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ.
ได้กำหนดรหัสภาษาไทยเพิ่มลงไปเพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้
· รหัสเอ็บซีดิก (EBCDIC) เป็นคำย่อมาจาก
Extended Binary Coded Decimal Interchange Code พัฒนาและใช้งานโดยบริษัทไอบีเอ็ม
เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมของไอบีเอ็มยังคงใช้รหัสนี้
การแทนข้อมูลในหน่วยความจำ
หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์เป็นที่เก็บข้อมูลและคำสั่งในขณะประมวลผล การเก็บข้อมูลในหน่วยความจำเป็นการเก็บรหัสตัวเลขฐานสอง ข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลทั้งตัวเลขหรือตัวอักษรจะได้รับ การแทนเป็นตัวเลขฐานสองแล้วเก็บไว้ในหน่วยความจำ เช่น ข้อความว่า BANGKOK เก็บในคอมพิวเตอร์
หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์เป็นที่เก็บข้อมูลและคำสั่งในขณะประมวลผล การเก็บข้อมูลในหน่วยความจำเป็นการเก็บรหัสตัวเลขฐานสอง ข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลทั้งตัวเลขหรือตัวอักษรจะได้รับ การแทนเป็นตัวเลขฐานสองแล้วเก็บไว้ในหน่วยความจำ เช่น ข้อความว่า BANGKOK เก็บในคอมพิวเตอร์
หน่วยความจำ
|
|
B
|
01000010
|
A
|
01000001
|
N
|
01001110
|
G
|
01000111
|
K
|
01001011
|
O
|
01001111
|
K
|
01001011
|
Credit : http://a.1asphost.com/chalin623/drinking48/information2/techno2_1.htm
Lucky 7 casino review - JTMHub
ตอบลบLucky 7 casino review. It's a 원주 출장마사지 wonderful and fast-paced online 용인 출장안마 casino 양주 출장샵 with tons of games 여주 출장샵 and offers great customer service. Get an up to date list of 수원 출장안마 all